วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

ป้ายจราจรประเภทป้ายเตือน

แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ

       1. ป้ายเตือนตามรูปแบบและลักษณะที่กำหนด
       2. ป้ายเตือนที่แสดงด้วยข้อความ และ/หรือสัญลักษณ์
       3. ป้ายเตือนในงานก่อสร้างต่าง ๆ


1.  "ทางโค้งซ้าย" 

 ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งไปทางซ้าย ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง

2.  "ทางโค้งขวา" 

ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งไปทางขวา ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง

3.   "ทางโค้งรัศมีแคบเลี้ยวซ้าย" 
ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางซ้าย ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง

4.  "ทางโค้งรัศมีแคบเลี้ยวขวา" 
ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางขวา ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง

5.  "ทางโค้งรัศมีแคบเริ่มซ้าย" 
ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางซ้ายแล้วกลับ ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง

6.  "ทางโค้งรัศมีแคบเริ่มขวา"  
ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางขวาแล้วกลับ ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง

7.  "ทางคดเคี้ยวเริ่มซ้าย"
ความหมาย ทางข้างหน้าเป็นทางคดเคี้ยวโดยเริ่มไปทางซ้าย ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง
 
8.  "ทางคดเคี้ยวเริ่มขวา"  
ความหมาย ทางข้างหน้าเป็นทางคดเคี้ยวโดยเริ่มไปทางซ้าย ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง

9.   "ทางโทตัดทางเอก"
ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางโทตัด ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง

10.  "ทางโทแยกทางเอกทางซ้ายรูปตัววาย"   
ความหมาย  ทางข้างหน้ามีทางโทแยกจากทางเอกไปทางซ้ายเป็นรูปตัววาย ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง 

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

ทำอย่างไรเมื่อเจอสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน






ในการขับรถ คุณอาจจะต้องพบกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ ไม่ว่าจะเป็นรถหลุดจากทางวิ่ง ยางแบน หรือ ยางแตก เป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ เราควรจะรู้วิธีปฏิบัติในการควบคุมรถสำหรับกรณีนี้ไว้เสียหน่อย


- คุมสติให้ดี อย่าตื่นตกใจจนเกินไป ประคองพวงมาลัยเพื่อรักษาให้รถเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดิม

- อย่าเหยียบเบรกอย่างแรง เพราะอาจทำให้รถหมุน ให้ลดความเร็วด้วยการถอนคันเร่งและลดเกียร์ไปหาเกียร์ต่ำ แล้วค่อยแตะเบรก

- เมื่อสามารถควบคุมรถได้แล้ว ให้พยายามหยุดรถอย่างช้าๆ และจอดในที่ปลอดภัย

- ถ้าพบของตกอยู่บนถนน อย่าวิ่งทับ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังทับ ควรตรวจเช็คใต้ท้องรถ

- ถ้าสัตว์เลี้ยงขวางทาง กดแตรเบาๆ ให้มันหลบ ควรเลี้ยวไปทางด้านหลังของสัตว์ การตัดหน้าจะทำให้สัตว์ตกใจได้

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : หนังสือ อนุสาร อสท ฉบับเดือนกันยายน 2554

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

ทางเท้า' ห้ามขับ-จอดรถ

ทุกวันนี้มีรถใหม่เข้าสู่ ระบบการจราจรในกรุงเทพฯ มากเหลือเกิน จนส่งผลกระทบถึงปัญหารถติด รวมถึงปัญหาไม่มีที่จะจอดรถกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ในเมือง บ่อยครั้งที่จะเห็นมีการขับขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้า เพื่อหนีรถติดบนถนนบ้าง ย้อนศรบ้าง ซึ่งล้วนแต่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ.2522 กำหนดไว้ชัดเจน ห้ามขับรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร (เว้นแต่รถเข็นสำหรับทารก คนป่วย หรือคนพิการ) หากฝ่าฝืนมีโทษปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท ส่วนกรณีที่ชอบขับรถยนต์ขึ้นไปจอดบนทางเท้า ก็ผิดกฎหมายเช่นกัน แม้ทางเท้านั้นจะเป็นหน้าบ้านหรือตึกแถวของตนเอง แต่ก็เป็นทางสาธารณะ ซึ่ง พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดโทษสำหรับผู้ที่จอดรถบนทางเท้า จะมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ข้อหานี้ เป็นข้อหาหลักที่รวมอยู่ใน 13 ข้อหา ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ให้เข้มงวดจับกุมโดยไม่มีการออกใบเตือน เพราะเป็นเรื่องที่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ถ้าเจอต้องจับปรับทันที. ประกันภัยรถยนต์

ที่มา เดลินิวส์

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

สมาคมประกันวินาศภัยเสนอแก้เกณฑ์การรับประกันภัยพิบัติ ถ้าขายได้ต่ำกว่าเบี้ยที่กำหนด

สมาคมประกันวินาศภัยเสนอแก้เกณฑ์การรับ  ประกันภัย http://spser.com  พิบัติ ถ้าขายได้ต่ำกว่าเบี้ยที่กำหนด ไม่ขอส่งทำประกันต่อเข้ากองทุนฯ

นาย จีรพันธ์ อัศวธนะกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัย เปิดเผยว่า ในวันนี้ทางสมาคมประกันวินาศภัยและคณะอนุกรรมการกองทุนส่งเสริมการประกันภัย พิบัติ จะสรุปข้อเสนอใหม่ในการขายประกันภัยพิบัติ เพื่อขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ยในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่กำหนดเบี้ยไว้ 1% ของวงเงินความคุ้มครองทรัพย์สินที่ทำประกันอัคคีภัย และอุตสาหกรรมที่กำหนดเบี้ยไว้ 1.25% ถ้าขายได้ในอัตราเบี้ยที่ต่ำกว่าจะไม่ขอส่งเข้ากองทุนฯในทุกทุนประกันภัย และสามารถที่จะเพิ่มความคุ้มครองเป็น 50% ได้ทุกทุนประกันภัย จากที่กองทุนฯกำหนดไว้ว่าจะขยายได้ต้องมีทุนประกันขั้นต่ำ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป

"ถ้าปลดล็อคเรื่องทุนประกันขั้นต่ำ 1,000 ล้านบาทออกไปได้ จะทำให้บริษัทประกันภัยสามารถขายประกันน้ำท่วมปกติในวงเงินทุนประกันเท่า ไหร่ก็ได้ จากปัจจุบันที่กองทุนกำหนดให้เราคุ้มครอง 1 หมื่นบาท แล้วที่เหลือต้องส่งเข้ากองทุนฯ และประกันภัยพิบัติก็เช่นเดียวกัน ในเรื่องของการจำกัดความรับผิดชอบขั้นต่ำ สามารถที่จะขยายเพิ่มตามความสามารถของบริษัทประกันภัยแต่ละแห่ง"นายจีรพันธ์ กล่าว

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานคณะกรรมการ กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ เปิดเผยว่า ทางคณะกรรมการกองทุนฯจะมีการประชุมในวันที่ 7 ก.ย.นี้ และ ยินดีที่จะพิจารณาอนุมัติตามที่คณะอนุกรรมการเสนอ เพราะกองทุนฯจัดตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริม ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อบังคับธุรกิจประกันภัย โดยปัจจุบันอัตราเบี้ยประกันต่ำลงมากเมื่อเทียบกับเบี้ยที่กองทุนฯกำหนด ทำให้ผู้ประกอบการยังไม่เข้ามาทำประกันภัยกับกองทุน

นอกจากนี้ อาจจะมีการพิจารณาปลดล็อคเรื่องที่จะต้องส่งเข้าทำประกันภัยต่อกับกองทุน ขั้นต่ำ 30% โดยให้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ และพิจารณาถึงการแยกความคุ้มครองขาย จากปัจจุบันที่กองทุนฯกำหนดไว้ต้องขายรวมเป็นแพคเกจ คือ พายุ แผ่นดินไหว และ น้ำท่วม อาจให้เลือกซื้อได้ จะได้ไม่เป็นภาระหากผู้ประกอบการมองว่ามีระบบป้องกันความเสี่ยงได้

นาย ประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ภาคเอกชนมีความมั่นใจมากขึ้นจากการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาล จึงต้องการให้ผ่อนคลายเรื่องการจำกัดวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำที่กำหนดไว้ 30% ของประกันภัยทรัพย์สิน แต่จะขอให้พิจารณาที่อัตราเบี้ยประกันภัยเป็นหลัก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แสดงให้เห็นความเชื่อมั่นของทางบริษัทประกันภัยต่อที่มีต่อประเทศไทยด้วย

นาย ชัย โสภณพนิช  ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร  บริษัทกรุงเทพประกันภัย(BKI) เปิดเผยว่า ปัจจุบันราคาเบี้ยประกันภัยพิบัติที่บริษัทขายอยู่ที่ระดับ 0.24%-0.5% บริษัทจึงไม่ส่งประกันภัยต่อไปยังกองทุนฯ เพราะราคาเบี้ยประกันภัยต่ำกว่าของกองทุนที่กำหนดไว้ 1%-1.25% เช่น ทุนประกันภัย 1,000 ล้านบาท ต้องจ่ายเบี้ยประมาณ 12.5 ล้านบาทถือว่าแพง

"ดู แล้วเห็นว่า ปีนี้น้ำไม่น่าท่วมหนัก เพราะลูกค้ามีการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมเสร็จถึง 90% และปริมาณฝนตกน้อยกว่าที่คาดหมายไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปีที่ผ่านมา แต่ ณ วันนี้น้ำไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก และผู้บริหารจัดการน้ำได้บทเรียนจึงมีการป้องกันน้ำท่วมได้ดีกว่าเดิม"นาย ชัย กล่าว

นายสมพร  สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัททิพยประกันภัย(TIP) กล่าวว่า ถือว่ากองทุนฯได้ทำสำเร็จไปในระดับหนึ่งที่สามารถดึงให้เบี้ยประกันภัย พิบัติลดลงต่ำกว่าที่กองทุนฯกำหนด เพราะบริษัทประกันภัยต่อกลัวจะเสียลูกค้า จึงเข้ามาเสนอราคาเบี้ยประกันภัยที่แข่งขันกับกองทุนฯเพราะมองว่าพื้นที่ อุตสาหกรรม หรือ พื้นที่ไข่แดงทางเศรษฐกิจ มีการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมที่ทำให้มั่นใจว่า หากมีน้ำท่วมเกิดขึ้นจะไม่ท่วมพื้นที่ไข่แดงทางเศรษฐกิจเหมือนปีที่ผ่านมา

"ตอน นี้คนยังซื้อประกันภัยพิบัติเข้ามาไม่มาก เพราะยังไม่ครบสัญญา จะมีเข้ามามากช่วงเดือน 3 เดือนสุดท้าย ซึ่งล่าสุดที่คปภ.แจ้งไปอยู่ที่ 9.29 หมื่นราย วงเงินความคุ้มครอง 9,426 ล้านบาท เบี้ยรวม 65 ล้านบาท แต่คาดว่าถึงสิ้นปีนี้จะมีผู้ทำประกันเข้ามา 7.2 แสนราย วงเงินความคุ้มครอง 3.29 แสนล้านบาท เบี้ยประกันภัยราว 3,577 ล้านบาท โดยวันที่ 7 ก.ย.นี้ก็จะเสนอชื่อบริษัทประกันภัยต่อที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนฯเพื่อ พิจารณา ให้ทำประกันภัยต่อไปยังต่างประเทศได้ตามที่ที่ปรึกษาประกันภัยเสนอ"นายประ เวช กล่าว


ที่มา โพสต์ทูเดย์

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

เรื่องของ พ.ร.บ.


กว่าสองทศวรรษที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มีผลใช้บังคับ ทำให้ประเทศไทยมีการใช้บังคับสำหรับการประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ ที่บังคับให้เจ้าของรถหรือผู้ใช้รถทุกคนต้องทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ การประกันภัย พ.ร.บ. ความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. นี้ แยกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นความคุ้มครองที่เรียกว่า “ค่าเสียหายเบื้องต้น” ซึ่งถูกกำหนดตามกฎหมายให้มีความคุ้มครอง สำหรับค่ารักษาพยาบาลผู้ประสบภัยไม่เกิน คนละ 15,000 บาท และค่าปลงศพ กรณีผู้ประสบภัย เสียชีวิต คนละ 35,000 บาท

ค่าเสียหายเบื้องต้นใน ส่วนนี้กฎหมายกำหนดให้บริษัทที่รับประกันภัยต้องชดใช้ให้แก่ผู้ประสบภัยที่ เกิดจากรถคันที่ทำประกันภัยไว้ หรือแก่ทายาทของผู้ประสบภัยที่ได้รับอันตรายแก่ชีวิตภายใน 7 วันนับแต่ได้รับการเรียกร้องโดยไม่ต้องพิสูจน์ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่าย ถูก ตามหลักของการประกันภัยค้ำจุนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่อย่างใด ทั้งนี้ เพื่อให้การคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับมีผลในการช่วย บรรเทาผลร้ายจากการเกิดอุบัติเหตุจากรถได้อย่างรวดเร็ว และ ทำให้เกิดความมั่นใจกับทุกส่วน ทุกองค์กร ที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง

สำหรับ ความคุ้มครองในส่วนที่สอง กำหนดเป็นค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ประสบภัยที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวนไม่เกินคนละ 50,000 บาท และค่าชดเชยกรณีที่ผู้ประสบภัยรายนั้นต้องพักรักษาตัวในสถานพยาบาลโดยลง ทะเบียนเป็นคนไข้ในอีกวันละ 200.-บาท ไม่เกิน 20 วัน ถ้าหากผู้ประสบภัยได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต ทายาทจะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากกรมธรรม์คนละ 200,000 บาท

ในการชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับนี้ถือว่าค่าเสียหายส่วน แรกเป็นส่วนหนึ่งของค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ เมื่อมีการชดใช้ค่าเสียหายส่วนแรกไปแล้ว เมื่อจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ก็จะหักเงินค่าเสียหายส่วนแรกออกไป ก่อน แล้วจึงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนส่วนที่เหลือให้กับผู้ประสบภัย หรือทายาทของผู้ประสบภัยแล้วแต่กรณี

ที่กล่าวมายืดยาวทั้งหมดนี้ผมมี เจตนาที่จะปูพื้นให้ทุกท่านเข้าใจกับกรมธรรม์ ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับของประเทศไทยโดยสังเขปเท่านั้น เพราะสิ่งที่อยากจะกราบ เรียนท่านผู้อ่านทุกท่านในวันนี้เป็นเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นมิติใหม่สำหรับการชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้น ด้วยการเปิดใจกว้างของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีผลให้เกิดความ สะดวกรวดเร็วในการขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นของผู้ประสบภัยเป็นอย่างยิ่ง

นับ ตั้งแต่ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัย พ.ศ.2535 ใช้บังคับการจ่ายค่าเสีย หายเบื้องต้น สำหรับรถที่ได้ทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับไว้ถูกกำหนดให้เป็นหน้า ที่ของบริษัทที่รับประกันภัยที่จะต้องจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นภายใน7 วันนั้น แต่ได้ รับการร้องขอโดยไม่ต้องรอผลการพิสูจน์ความรับผิดแต่อย่างใด ต่อมาได้มีการแก้ไข พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถให้บริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยรถ ยนต์ ทุกบริษัทร่วมลงทุนจัดตั้งบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เพื่อให้เป็นบริษัทที่ดำเนินการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยรถ ยนต์ภาค บังคับให้แก่ผู้ประสบภัย โดยให้มีการบริการครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ดังนั้นการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยรถยนต์ ภาคบังคับไว้ จึงสามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที โดยการจัดการของบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด

แต่เนื่องจากรถที่วิ่งอยู่บนถนน ทุกคันไม่ได้มีการประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. ทุกคัน รวมไปถึงรถที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำประกันภัย เช่น รถราช การ หรือ รถยนต์ทหาร เป็นต้น รถยนต์เหล่านี้เมื่อเกิดอุบัติเหตุมีผู้ประสบภัยไม่ว่า บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต จำเป็นที่จะต้องมีผู้รับผิดชอบในเบื้องต้น เพื่อให้สอดคล้อง กับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ดังนั้น พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจึงกำหนดให้จัดตั้งกองทุนคุ้มครองผู้ ประสบภัยจากรถ พร้อมๆ กับที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถมีผลบังคับ โดยกำหนดให้กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ ประสบภัย หรือทายาทผู้ประสบภัยแล้วแต่กรณี ผู้ที่ดูแลและทำหน้าที่จ่ายเงินของกองทุน นี้ คือ หน่วยงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัยทั่วประเทศ

ดังนั้น การชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้น ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จึงแยกกันเป็นสองส่วนโดยกำหนดให้ผู้ประสบภัยจากรถ ที่ทำประกันภัยไว้รับค่าเสียหายเบื้องต้นจากบริษัทที่รับประกันภัย หรือรับจากบริษัท กลางคุ้ม ครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด แล้วแต่ความสะดวกของผู้ประสบภัย แต่สำหรับผู้ประสบภัยจากรถที่ได้มีประกันภัยจะต้องรับค่าเสียหายเบื้องต้น จากกองทุนทดแทน ผู้ประสบภัยเท่านั้น แต่นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2555 กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจากรถ ได้ปรับปรุงระเบียบการชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นในส่วนของค่ารักษาพยาบาล โดยได้มอบหมายให้ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด สามารถชดใช้ค่ารักษาพยาบาลในส่วนของค่าเสียหายเบื้องต้นให้กับผู้ประสบภัย หรือสถาน พยาบาลที่มีสิทธิ์ขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นได้แทนผู้ประสบภัยได้แล้ว แต่สำหรับค่าเสียหายเบื้องต้นกรณีเสียชีวิต ทายาทผู้ประสบภัยยังคงต้องไปขอรับจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย เช่นเดิมนะครับ

ผล จากการปรับปรุงระเบียบนี้ของกองทุนคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เชื่อว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวก และทำให้เกิดความมั่นใจในระบบการประกันภัยภาคบังคับได้อย่างมากมายนะครับ คงต้องมาดูผลการประเมินกันต่อไปว่าเป็นอย่างไร


ที่มาสยามธรุรกิจ

เรื่องของ พ.ร.บ.